อิศรศักดิ์ (พันท้ายนรสิงห์) บาร์โบส



     แชมเปี้ยนมวยไทยและสากล รุ่นเฟเธอร์เวต เวทีลุมพินี & ราชดำเนิน
 

        เป็นตำนานยอดมวยของเมืองไทยอีกรายที่แฟนๆรำลึกถึง แม้ว่าวันเวลาจะล่วงผ่านมาหลายสิบปีแล้วก็ตาม ผลงานการคว้าแชมป์มวยไทยและสากลในรุ่นเฟเธอร์เวตของเวทีลุมพินี เวทีราชดำเนิน ตลอดจนแชมเปี้ยนมวยสากลสองเวที บ่งบอกถึงคุณภาพและชื่อเสียงเกียรติยศของอดีตนักชกรายนี้ได้เป็นอย่างดี
 
        ย่อมไม่มีใครปฏิเสธชื่อเสียง ความสามารถของเขา...
              
        “อิศรศักดิ์ พันท้ายนรสิงห์” หรือ “อิศรศักดิ์ บาร์โบส” ยอดนักชกสองแบบ กับชีวิตการต่อสู้บนสังเวียนเลือดและยามอยู่นอกสังเวียน ตลอดจนการเดินทางไปชกสร้างชื่อเสียงที่ต่างแดน โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น ส่วนชีวิตในปัจจุบันสละแล้วซึ่งทางโลก โดยอยู่ไต้ร่มธรรม ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบสุขในวัย 78 ปี ณ วัดป่านาทุ่งมั่ง ต.หนองขอน อ.เมือง จ.อุบลราชธานี
 
        ทีมงานสยามกีฬา เดินทางสู่เมืองดอกบัว เพื่อติดตามเรื่องราวชีวิตวันนี้ของอดีตยอดนักชกภายไต้ร่มกาสาวพัสต์ ก่อนที่ “หลวงปู่” จะขึ้นรับรางวัล  HALL OF FAME ในงานมอบรางวัล สยามกีฬาอะวอร์ดส์ครั้งที่ 9 ในวันศุกร์ที่ 6 มีนาคม 2558 นี้ ณ โรงละครอักษราเธียร์เตอร์ คิงพาวเวอร์ คอมเพล็กซ์ท่ามกลางคำถามถึงความเหมาะสมหรือไม่ ประการใด ที่อดีตยอดนักชกรายนี้ในสมณะเพศ จะเดินทางมารับรางวัลด้วยตัวเอง โดยทางคณะกรรมการได้พิจารณาอย่างถ่องแท้แล้วเห็นว่าไม่ใช่เรื่องที่สร้างความเสียหายแต่อย่างใด ถือว่าเป็นผลงานของท่านที่ได้ทำไว้ในอดีต เป็นตำนานอีกบทหนึ่งของวงการมวยเมืองไทย มองมุมกลับกันแล้ว กลับเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำไป เพื่อทุกคนจะได้ร่วมซึมซับไปกับชีวิตการต่อสู้ ที่ครั้งหนึ่งยืนหยัดบนสังเวียนเลือด เป็นตำนานอีกบทหนึ่งที่แฟนมวยรุ่นเก่าไม่เคยลืมเลือน แม้กระทั่งแฟนมวยในยุคปัจจุบันก็จะได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ ตลอดจนสัจธรรมแห่งชีวิตของนักสู้คนหนึ่ง...
 
        ณ วัดป่านาทุ่งยั้ง ตั้งอยู่ในเขต ต.หนองขอน อ.เมือง จ.อุบลราชธานี จากตัวจังหวัดไปประมาณ 20 กิโลเมตร ภายในบริเวณวัดอันร่มรื่น สะอาด สวยงาม เราได้พบกับ อดีตยอดมวยในนาม “พระมหาวีโรภิกขุ”  ในวัย 78 ปี สุขภาพแม้ยังดูแข็งแรง แต่กลับมีปัญหาที่นัยต์ตาข้างซ้ายซึ่งมืดสนิท อันได้รับผลกระทบจากการชกมวยและต่อมาได้ลุกลามเป็นต้อหิน ในขณะที่ดวงตาข้างขวามองภาพระยะไกลๆ แต่ถ้าระยะใกล้จะพร่าเลือน
 
        เรื่องราวในอดีต จนถึงปัจจุบัน พร่างพรู...
 
        อิศรศักดิ์ เกิดเมื่อวันที่ 10 มี.ค. 2480 ที่ ต.ลาดงา อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา คุณพ่อรับราชการครู หลังจากจบการศึกษาระดัมประถมที่บ้านเกิดแล้ว ครอบครัวได้ส่งเข้ามาเรียนต่อระดับมัธยมที่โรงเรียนอำนวยศิลป์ กรุงเทพมหานคร เริ่มต้นจากการขึ้นชกมวยนักเรียน จนกระทั่งอยู่ชั้น ม.6. จึงได้เริ่มต้นการชกมวยไทยโดยมี สำราญ ธำรงเกียรติ หัวหน้าค่ายมวยพันท้ายนรสิงห์ ที่จังหวัดสุมทราสาคร เป็นผู้ชักชวนและถ่ายทอดวิทยายุทธเชิงมวยไทย พร้อมตั้งชื่อให้ว่า “อิศรศักดิ์ พันท้ายนรสิงห์” 
        อิศรศักดิ์ ขึ้นชกมวยประจำที่เวทีมวยจังหวัดสมุทรสาคร ด้วยรูปร่างช่วงชกที่สูงชะลูด ผิวขาวสะอาดสะอ้านทว่าอาวุธเชิงมวยไทยกลับร้ายกาจยิ่งนัก เป็นมวยที่เตะขวาหนักหน่วงรุนแรง หมัดขวาประเภทสั่งได้ สำคัญที่สุดคือหัวใจสู้ ธาตุทรหดอดทนเป็นเลิศ แตกต่างไปจากรูปร่างอันสะโอดสะองโดยสิ้นเชิง  โชว์ฟอร์มการชกได้อย่างดีเยี่ยมไม่เคยพลาดท่าแพ้ใคร จนกลายเป็นดาราดวงเด่นของเวที
        “ช่วงนั้นกำลังหนุ่ม กำลังห้าว อาตมารูปร่างสูง ผิวขาว ท่าทางไม่น่ากลัว ไปประกบชกที่ไหน คู่ต่อสู้เห็นก็ยิ้ม ชี้มาที่เราอย่างเดียวเลย หารู้ไม่ ...หาเรื่องแท้ๆ” หลวงปู่รำลึกความหลังอย่างอารมย์ดี
                   
        ต่อมา มนตรี สุขสะอาด แมวมองค่ายบาร์โบสของ “เชาว์ ฉวีวงษ์”  ไปประสบพบตัวเข้าจึงกล่อมเข้ามาอยู่ค่ายบาร์โบส ซึ่งตั้งอยู่ย่านพระโขนง โดยเปลี่ยนค่ายเป็นบาร์โบส (เป็นชื่อน้ำมันใส่ผมบาร์โบส หัวหน้าคระ เชาว์ ฉวีวงศ์ เป็นคุณพ่อของ “ปิ่น” ณัฐนันท์ ฉวีวงศ์ ผู้สร้างละครค่ายทีวีซีนช่อง 3) ประเดิมเวทีราชดำเนินหนแรกถลุง สาธิต ศิษย์สิงห์ มวยก้านยาวด้วยกันพ่ายน็อคเอ๊าท์ง่ายดาย จากนั้นไต่เต้าสู่การเป็นดาวโรจน์ด้วยระยะเวลาอันรวดเร็ว สถิติการชกครั้งสำคัญๆมี ชนะน็อก ฉลวย อุดมศักดิ์, จเร ราชวัฎ, “มังกรดำ” สวงษ์ ใจมีบุญ เคยล่องใต้ไปปราบ พงษ์ศักดิ์ นาคพยัคฆ์ และ จุฬา ลูกทักษิณ ยอดมวยดังแดนสะตอแพ้ยับถึงถิ่น
               
        ขึ้นท้าชิงแชมป์มวยไทยรุ่นเฟเธอร์เวทเวทีราชดำเนินจาก “มังกรร้ายจากเมืองโผวเล้ง” สายเพชร ยนตกิจปรากฏว่าอิศรศักดิ์ผิดหวังตกเป็นฝ่ายแพ้คะแนน หันไปชิงแชมป์รุ่นเดียวกันทางด้านลุมพินีจาก ศักดา ยนตรกิจ ก็แพ้แก่ศักดาอีก ทว่าอิศรศักดิ์ไม่ละความเพียรพยายาม ท้าแก้มือชิงกับศักดาอีกคราวนี้สมหวัง สามารถชนะคว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จ แล้วหันไปชิงทางราชดำเนินใหม่ ชนะคะแนน ชัยยง ราชวัฎ กลายเป็นดับเบิลแชมป์มวยไทยรุ่นเฟเธอร์เวท

เมื่อครั้งครองแชมป์มวยสากล เวทีราชดำเนิน                
        จากนั้นอิศรศักดิ์ลองเปลี่ยนแนวทางการชกมวยสากลดูบ้าง ชนะคะแนน สุรจิตร สิงห์สำอางค์ กับ ราชโอรส ร.ส.พ. งดงามสองราย แล้วถูกจัดให้กระโดดข้ามบันไดเรียนลัดต่อยกับ มานูเอล อาร์เมนเตส รองแชมป์โลกจากคิวบา อิศรศักดิ์ถูกต้อนแพ้คะแนนไปตามระเบียบเพราะสู้ชั้นเชิงไม่ได้ จึงต้องกลับมาชกมวยไทยอย่างเก่า
               
        เจอศึกหนักกับ “แชมป์มงกุฏเพชร” อดุลย์ ศรีโสธร ถึง 4 หน หนแรกที่งานสงกรานต์เมืองชล อิศรศักดิ์ ชนะคะแนนดุเดือด หนสองย้ายเข้ามาชกที่เวทีราชดำเนิน อิศรศักดิ์ยังเป็นฝ่ายกำชัยชนะด้วยคะแนนอีก หนที่สามย้อนกลับคืนไปชกที่เมืองชล คราวนี้อิศรศักดิ์เป็นฝ่ายแพ้คะแนน พร้อมกับสูญเสียเข็มขัดมวยไทยรุ่นเฟเธอร์เวทลุมพินี หนที่สี่เปลี่ยนสมรภูมิกำปั้นมาชกกันที่เวทีลุมพินีบ้าง อิศรศักดิ์แก้มือชนะคะแนนอดุลย์อีก สรุปต่อยกัน 4 หน อิศรศักดิ์เป็นฝ่ายมีชัยเหนืออดุลย์ 3 หน แพ้เพียงครั้งเดียว แต่สถิติการชกกับอดุลย์นั้น หลวงปู่เปิดเผยเองว่า 

         ลีลาการ์ดมวยไทย ระดับแชมป์ 2 เวที         
        ส่วนคู่ต่อกรรายสำคัญมี ชนะน็อก จิ้งหรีดทอง มหาสารคาม, ชนะ “มังกรดำ” กิมโหงว ศิษย์สิงห์ และ “ไอ้โย่ง” สินชัย ร.ส.พ. สามรายรวด กลับมาชกมวยสากลชิงแชมป์รุ่นเฟเธอร์เวทลุมพินี ชนะคะแนน สาริกา ยนตรกิจ ขาดลอย ครองแชมป์รุ่นนี้อยู่นานร่วมสองปี หาคนชิงไม่ได้จำต้องสละไป ย้อนมาชกมวยไทย ชนะคะแนน “ฉลามขาว” สมพงษ์ สมานฉันท์ , แพ้คะแนน “ฉลามเหล็ก” ออมทรัพย์ แหลมฟ้าผ่า กับ “ซ้ายฟ้าฟาด” เขียวหวาน ยนตรกิจ เพราะแบกน้ำหนักตัวเยอะ กู้ชื่อชนะคะแนน “หมัดฆ้อนเหล็ก” ขุนศึกน้อย ศ.บางคอแหลม , เสมอกับ “ไอ้เซ้ง” อดิศักดิ์ แขวงมีชัย แล้วดวงวูบ แพ้ 5 ไฟต์รวดต่อ“ไอ้โย่ง” สินชัย ร.ส.พ., “ไอ้เซ้ง” อดิศักดิ์ แขวงมีชัย, “จอมปฐพี” แดนชัย ยนตรกิจ, วิชาญ ส.พินิจศักดิ์ และ จิ้งหรีดทอง มหาสารคาม 
                   
        แพ้บ่อยจนต้องเลิกชกมวยไทยแล้วกลับไปชกมวยสากล ท้าชิงแชมป์มวยสากลรุ่นเฟเธอร์เวทลุมพินีที่เคยครองจาก วีระนิด เจริญเมือง ผลอิศรศักดิ์ได้ครองแชมป์อีกสมัย แล้วข้ามรุ่นไปถลุง พยุง นภาพล แชมป์ไลท์เวทราชดำเนิน จนเกาะเชือกขอยอมแพ้ ซึ่งไฟต์นี้ อาซามู โนกูจิ โปรมวยญี่ปุ่นเห็นลวดลาย จึงติดต่อไปชกที่ญี่ปุ่นพร้อมๆ กับ วีระนิด เจริญเมือง อิศรศักดิ์ขึ้นชกหนแรกที่แดนอาทิตย์อุทัย ชนะคะแนน ชินิจิ อาซานูมา รองแชมป์รุ่นเฟเธอร์เวทญี่ปุ่น ชนะคะแนน อกิร่า โอกูจิ รองแชมป์รุ่นเฟเธอร์เวทญี่ปุ่น อีกหน ทำเอามวยสากลรุ่นเดียวกันของญี่ปุ่นหัวหดไม่กล้าต่อกรด้วย
               
        ต่อมาอิศรศักดิ์ถูกจัดชกแบกน้ำหนักเจอกับ ฮาซิโร อีโต้ มวยรุ่นเวลเตอร์เวท ผลอิศรศักดิ์เป็นฝ่ายแพ้คะแนนตามฟอร์ม เพราะชกกับตึกดี ๆนี่เอง และจากการที่อิศรศักดิ์แพ้แก่อีโต้ทำให้ ยูคิโอะ คัตสุมาต้า รองแชมป์โลกรุ่นเฟเธอร์เวทอันดับ 3 เปิดทางให้อิศรศักดิ์ต่อกรด้วย ซึ่งอิศรศักดิ์ถลุงคัตสุมาต้า ระเนระนาดไม่เป็นขบวน ทว่าครบ 10 ยก กรรมการญี่ปุ่นกลับชาตินิยมตัดสินให้เสมอกัน กระนั้นชื่อของอิศรศักดิ์ก็ได้รับการบรรจุเข้าสู่อันดับรองแชมป์โลกรุ่นเฟเธอร์เวทของสมาคมมวยโลก โดยติดอันดับ 10 รั้งท้าย หนหลังสุดอิศรศักดิ์ทำศึกในแดนซามูไร ถูกตัดสินให้แพ้คะแนน เทรูโอะ โคซาก้า รองแชมป์โลกรุ่นเฟเธอร์เวทอันดับ 3 จากนั้นเดินทางกลับบ้านเกิด เจอ “แชมป์มงกุฏเพชร” อดุลย์ ศรีโสธร เป็นหนที่ 5 ในแบบสากล 12 ยก  อิศรศักดิ์แพ้คะแนนอดุลย์ ท่ามกลางเสียงโห่และประท้วงนานร่วมครึ่งชั่วโมงเหตุการณ์จึงสงบลงได้
หลวงปู่โชว์ภาพเมื่อครั้งอดีต
        “ข้อมูลบอกว่าชก 4 แต่เท่าที่จำได้ ชกกัน 7 ครั้งนะ อาตมาชนะ 4 แพ้ 3 ก็ไม่รู้อาตมาจำไม่ได้หรือข้อมูลคลาดเคลื่อนกันแน่เหมือนกัน” 
        ระยะหลังอิศรศักดิ์ เปลี่ยนมาใช้ค่าย “อินทรบุตร” ขึ้นชกหนหลังสุดแพ้คะแนน ยอดดอย สิงห์นครพิงค์ ในแบบมวยไทย เพราะสภาพร่างกายสังขารร่วงโรย จึงได้ตัดสินใจแขวนนวมอย่างถาวร
        “อาตมาไปชกญี่ปุ่นเป็นนักมวยชุดแรกๆ เลยนะ ตระเวนชกไปทั่ว ไปอยู่มา 2 ปี ชกเกือบ 30 ครั้งทั้งมวยไทยและสากล พอหลังๆร่างกายเริ่มไม่ดี มีปัญหาดวงตาเริ่มพร่าเลยกลับเมืองไทย ชกอีกไม่กี่ครั้งก็เลิกอย่างถาวร “

             ให้สัมภาษณ์กับทีมงานสยามกีฬา ที่วัดป่านาทุ่งมั่ง   
        หลังเลิกชกมวยแล้ว อิศรศักดิ์เข้าทำงานที่บริษัททิมแลนด์ ย่านลาดยาวเกี่ยวกับเรื่องสถานที่ท่องเที่ยว ต่อมาทางบริษัทมีปัญหา จึงได้ลาออก ส่วนด้านครอบครัวแต่งงานกับแฟนสาว รับข้าราชการครูสอนอยู่ที่โรงเรียนจันทร์ประดิษฐารามวิทยาคม ย่านบางแค ฝั่งธนฯ มีบุตร-ธิดา 4 คน ซึ่งปัจจุบันรับราชการครูทั้งหมด ในขณะที่ภรรยา เป็นรองผู้อำนวยการโรงเรียน
  
        “อาตมามีปัญหาเรื่องดวงตา สุขภาพก็ไม่ค่อยแข็งแรง ไม่อยากเป็นภาระครอบครัว ตอนนั้นบวชหน้าไฟให้โยมแม่ จึงได้บอกภรรยาและลูกๆว่าจะขอบวชสืบทอดบวรพุทธศาสนา ก็ไม่มีปัญหาอะไร เลยบวชตอนอายุ 53 ปี ที่วัดจันทร์ประดิษฐารามนั่นแหละ อยู่วัดนี้มา 12 ปี รู้สึกว่ามีความวุ่นวาย พอดีกับเจ้าอาวาสท่านไปบุกเบิกที่ว่างเปล่า เป็นทิ่ดินมรดกของท่านซึ่งก็คือวัดนี่แหละ ที่ดินว่างเปล่า 20 กว่าไร่ชักชวนมาอยู่ที่นี่ อาตมาเลยตัดสินใจมาอยู่ทีที่นี่ วัดติดกับป่าเขา มีไก่ป่า บรรยากาศร่มรื่น ได้ร่วมกันพัฒนาวัดขึ้นมา จนมีโบสน์ มีกุฏิ แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ยังรักษาความเป็นวัดป่าเอาไว้ ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย อาตมาทำตามกิจของสงฆ์ทุกอย่าง โดย 6 โมงเช้าจะออกบิณฑบาตร่วมกับพระที่วัดซึ่งมีทั้งหมด 4 องค์ อยู่ในวัยชราเกิน 60 กันทุกองค์ จากนั้นกลับมาฉันท์เช้า พร้อมกับทำวัดเช้า ทำวัดเย็น ติดตามข่าวสารวงการมวยบ้างจากการฟังเสียงทางโทรทัศน์ เพราะสายตามองไม่เห็น ส่วนภรรยาเสียชีวิตเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ลูกๆก็แยกย้ายกันไปมีครอบครัว แต่ก็ยังติดต่อกับอาตมาอยู่ตลอด ที่วัดมีโทรศัพท์รวมเอาไว้ติดต่อ ทำให้ลูกๆเบาใจ โทรมาไต่ถามสารทุกสุกดิบบ้าง ว่างๆก็พาลูกหลานมาเยี่ยมอาตมาที่วัด...ชีวิตบั้นปลายมีความสุข อยู่กับธรรมะ ก็จะสืบทอดพระพุทธศาสนาจนกว่าชีวิตจะหาไม่...”

ขอบคุณแหล่งที่มา : http://www.siamsport.co.th/Column/150304_052.html

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การชกมวยชิงถ้วยพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุยเดช รัชกาลที่9

ประวัติค่ายมวยยนตรกิจ

ภาพการรวมตัวของนักมวยในค่ายมวยยนตรกิจ